กระเทียม
เป็นเครื่องเทศและพืชสมุนไพรเก่าแก่ที่รู้จักมานานมากกว่า 6,000 ปี ไม่ว่าจะเป็นชาวอารยธรรมโบราณอย่างชาวอียิปต์ ที่ให้คนงานรับประทานกระเทียมเพื่อเพิ่มพละกำลังระหว่างการสร้างพีระมิด1 อินเดียและจีนที่ตระหนักถึงคุณค่าทางสารอาหารของกระเทียมและนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และรักษาโรคต่างๆ จนกระทั่งในปัจจุบัน
กระเทียมก็ยังคงเป็นเครื่องปรุงหรืออาหารที่ได้รับความนิยมจากคนทั่วโลก
ในกระเทียม 100 กรัม ให้พลังงาน 149 กิโลแคลอรี (kcal) และให้คุณค่าทางอาหารดังนี้ น้ำ58.6กรัมฟอสฟอรัส153มิลลิกรัม คาร์โบไฮเดรต33.1กรัมโพแทสเซียม401มิลลิกรัม โปรตีน6.4กรัมซีลีเนียม14.2ไมโครกรัม ไขมัน0.5กรัมวิตามินซี31.2มิลลิกรัม แคลเซียม181มิลลิกรัมโฟเลท3.1ไมโครกรัม แมกนีเซียม25มิลลิกรัมใยอาหาร2.1กรัม
นอกจากนี้ยังมีไฟโตนิวเทรียนท์หลายชนิด ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไฟโตนิวเทรียนท์ในกลุ่มออร์แกโนซัลเฟอร์ (Organosulfur) ได้แก่ สารอัลลิซิน (Allicin) ที่เป็นองค์ประกอบหลักของไฟโตนิวเทรียนท์ ที่ให้กลิ่นเฉพาะตัว ของกระเทียม โดยน้ำหนักกระเทียม 1 กรัม จะพบประมาณ 4.38-4.65 มิลลิกรัม ทั้งนี้ปริมาณสารประกอบที่พบในกระเทียมมีปริมาณมากหรือน้อยแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ ชนิดพันธุ์ ลักษณะดินที่ปลูก สภาพอากาศ และช่วงเวลาเก็บเกี่ยว | |
|
| เดิมทีกระเทียมจะไม่มีกลิ่นฉุน แต่ในเนื้อกระเทียมมีสารเคมีที่ชื่อว่า อัลลิอิน (Alliin) อยู่ในปริมาณมาก เมื่อกระเทียมถูกตัดหรือทำให้เกิดรอยช้ำ สารเคมีกับเอนไซม์ในกลีบ กระเทียมจะทำปฏิกิริยาเปลี่ยนสารอัลลิอินให้กลายเป็นสารอัลลิซิน4 ซึ่งก่อให้เกิดกลิ่น เฉพาะตัวในที่สุด | |
|
| สารสกัดกระเทียมและสารประกอบในกลุ่มออร์แกโนซัลเฟอร์ สามารถกระตุ้น การทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระในตับ เช่น กลูทาไธโอนเปอร์- ออกซิเดส (Glutathione Peroxidase) คะตาเลส (Catalase) ซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเตส (Superoxide Dismutase)5 ซึ่งผลจากการ ทดลองในสัตว์พบว่า กระเทียมสามารถลดอาการข้างเคียงของยาไซโคลสปอริน ที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันของผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ และทำให้เกิดพิษต่อไตและตับ | |
|
| กระเทียมช่วยป้องกันการเกิดไข้หวัดและช่วยลดอาการของไข้หวัด จากการศึกษาเปรียบเทียบพบว่า ผู้รับประทานกระเทียมที่มีสารอัลลิซิน 180 มิลลิกรัมต่อวันเป็นเวลานาน 12 สัปดาห์ จะมีจำนวนวัน ที่เป็นไข้น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานกระเทียม แต่จำนวนวันที่หายขาดจากอาการไข้หวัดนั้น ไม่แตกต่างกัน | |
|
| กระเทียมรูปแบบต่างๆ เช่น น้ำมัน ผงแห้งและกระเทียมสด ต่างก็มีผลต่อการลด ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด เนื่องจากสารเอส-อัลลิล-แอล-ซีสเทอีน ในกระเทียม จะช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความ สามารถในการควบคุมระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดได้ดียิ่งขึ้น • สารอัลลิซินในกระเทียมช่วยยับยั้งกระบวนการสร้างน้ำตาลกลูโคสจากตับ ส่งผลให้การเพิ่มระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดลดลง10 • เมื่อไฟโตนิวเทรียนท์ในกลุ่มออร์แกโนซัลเฟอร์ ดูดซึมสู่กระแสเลือดก็จะ ขัดขวางการรวมตัวของน้ำตาลกลูโคสกับเม็ดเลือดแดงฮีโมโกลบิน และ ขัดขวางการรวมตัวของน้ำตาลกลูโคสกับโปรตีนที่อยู่บริเวณผนัง หลอดเลือดแดงทั้งในไตและหัวใจ จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดการ อุดตันหลอดเลือด โรคไตและโรคหัวใจของผู้ป่วยเบาหวาน11 • มีการศึกษาว่า หากผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 รับประทานกระเทียมอัดเม็ด ขนาด 300 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวัน จะมีระดับน้ำตาลกลูโคสหลังอดอาหาร ลดลงถึง 32% และมีระดับไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ลดลง 22% เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่ได้รับประทานกระเทียม อัดเม็ด12ทั้งนี้การรับประทานกระเทียมอัดเม็ดเพื่อลดระดับน้ำตาลกลูโคส และไขมันในหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยโรคเบาหวานจำเป็น ต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกายควบคู่กัน | |
|
| • กระเทียมกระตุ้นให้ระบบไหลเวียนโลหิตเพิ่มการขนส่งสารอาหารสู่อวัยวะ ต่างๆ ที่ทำงานหนักและอ่อนล้า โดยเฉพาะสมอง ปอด กล้ามเนื้อ และหัวใจ • กระเทียมช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้อขจัดของเสียที่เกิดขึ้นจากใช้งานหนักเป็น เวลานาน ช่วยทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ทำให้ร่างกายรู้สึกสบาย ช่วยฟื้นฟู สภาพร่างกายเมื่อเกิดความอ่อนล้า | |
|
| • จากการรวบรวมงายวิจัยพบว่า เมื่อผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงรับประทาน กระเทียมทั้งในรูปสารสกัดผงแห้ง และน้ำมันกระเทียม ขนาดตั้งแต่ 600- 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน ต่อเนื่องอย่างน้อย 12 สัปดาห์ พบว่ามีค่าความดัน ซิสโตลิก (Systolic Blood Pressure) ลดลงเฉลี่ย 8.6 มิลลิเมตร- ปรอท และค่าความดันไดแอสโตลิก (Diatolic Blood Pressure) ลดลงเฉลี่ย 7.3 มิลลิเมตรปรอท เมื่อเทียบกับผู้เป็นโรคความดันโลหิตสูง ที่ไม่ได้รับประทานกระเทียม | |
|
| • จากการวิจัยพบว่า การรับประทานกระเทียมติดต่อกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์ จะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด อย่างไรก็ตาม เพื่อลดระดับโคเลสเตอรอลได้อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็น ต้องควบคุมอาหารและการออกกำลังกายร่วมกันเป็นประจำ | |
|
| • เอนไซม์ไซโคลออกซีจีเนส (Cyclooxygenase) ในกระเทียม ซึ่งเป็น เอนไซม์ที่มีบทบาทในการสังคราะห์พรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) จะทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดการเกาะกลุ่มกันของเกล็ดเลือด | |
|
| หากร่างกายมีระดับโฮโมซีสเทอีน (Homocysteine) ในเลือดที่สูงเกินไป จะเป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดได้รับความเสียหายและเกิดก้อนเลือดอุดตัน ในหลอดเลือด เพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเกิดภาวะหลอดเลือดในสมองแตก (Brain Stroke) ทั้งนี้การรับประทานกระเทียมจะช่วยลดระดับโฮโมซีสเทอีน ในเลือดได้ในภาวะการขาดโฟลิก17 หากรับประทานกระเทียมเป็นประจำช่วย ชะลอการเกิดภาวะแคลเซียมสะสมในหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งภาวะนี้เป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้หลอดเลือดแดงหัวใจแข็ง | |
|
| การรับประทานกระเทียมอาจทำให้มีลมหายใจและกลิ่นตัวเหม็น ด้วยเหตุนี้บริษัทผู้ผลิตอาหาร และยาบางรายจะผสมชะเอมเทศหรือลิคอริซ (Liquorice) เพื่อกลบกลิ่นและรสชาติที่ไม่พึง ประสงค์ และยังสามารถให้ประโยชน์ทางยาอีกด้วย เช่น รากหรือเหง้าของชะเอมเทศมีสาร ในกลุ่มไกลเซอร์ไรซิน (Glycyrrhizin) ที่มีสรรพคุณช่วยดับกระหาย มีฤทธิ์รักษาแผลใน กระเพาะอาหาร ต้านเชื้อไวรัส และปกป้องตับจากการทำลายของอนุมูลอิสระ | |
|
| • การรับประทานกระเทียมปริมาณมากในขณะท้องว่างอาจทำให้แสบกระเพาะอาหาร คลื่นไส้และท้องอืดได้ บางคนเมื่อผิวหนังสัมผัสกระเทียมอาจเกิดการระคายเคือง แพ้ มีอาการคันและมีผื่นแดงได้
• การรับประทานกระเทียมปริมาณมากติดต่อกันนานเกิน 10 วัน จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงการเกิด ภาวะเลือดแข็งตัวช้า โดยเฉพาะผู้ป่วยที่รับประทานยาในกลุ่มต้านการแข็งตัวของเลือด ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานกระเทียม เนื่องจากกระเทียมอาจเสริมฤทธิ์ให้เลือดแข็งตัวช้า และไหลไม่หยุดหากเกิดบาดแผล
• เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทานกระเทียมในปริมาณสูง เช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคไต และตับที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานกระเทียมติดต่อกันเป็นเวลานาน | |
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น